กับคืนวันที่ผันผ่าน

21 สิงหาคม 2003 03:07 น. บันทึก

สวัสดี

ยังมีคนอ่านเหลือไหมเนี่ย?
ทักทายทีไร คงต้องบอกว่า ไม่ได้เจอกันเสียนาน
ก็เห็นว่า นานอยู่ จริงนะขอรับ

ตอนนี้ย้ายมาบ้านใหม่เรียบร้อย ตอนแรกเขียนว่า ย้ายไปเมือง Vero Beach แต่ไปๆมาๆ เจ้าของร้านที่นี่เค้าอยากให้ช่วยงานที่เมือง Melbourne (ติด Orlando) ก็เลยย้ายมา Melbourne แทน โดยได้ที่พักฟรี มีงาน (เสิร์ฟ) ทำ และก็ลงเรียนหนังสือ (บังหน้า)

เลยเลือกคณะ Digital TV & Media Production ซึ่งรวมๆก็คือ เรียนด้านการทำสื่อในรูปแบบ Digital ทั้งทำหนัง ทำการ์ตูน กราฟฟิคดีไซน์ โดยใช้ห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น (WBCC) เป็น Lab, หลักสูตรน่าสนใจ มี Cer. ให้หลายใบ (แล้วแต่วิชาเลือก) เรียน 1-2 ปี (แล้วแต่ลง) ค่าเรียนเทอมละแสนกว่าบาท ถ้าเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ก็พอดีๆ ไม่เหลือเก็บ

มีข้าวกิน มีงานทำ มีเงินใช้ไปวันๆ บ้านอยู่ติดสวนสาธารณะ (แบบตั้งแค้มป์ได้) และไม่ไกลจากทะเล; มีรถกระบะขับ มีมือถือ มีเวลาสำหรับวาดรูป เข้าเน็ท (ก็เพิ่งต่อ Cable เสร็จนี่แล) มีห้องส่วนตัว มีโรงหนังใกล้บ้าน มีหนังสือภาษาอังกฤษ (ทั้งจากร้านมือหนึ่งมือสอง และในเน็ท) กองโตอยู่ในห้อง ให้ค่อยๆละเลียดอ่าน
ฯลฯ

แล้วก็เริ่มหวาดกลัวว่า ความสุขนั้น จะกลายเป็นการอุบัติซ้ำอันน่าเบื่อหน่าย

– เริ่มคุ้นเคยกับการเป็นเด็กเสิร์ฟและวิถีชีวิต ทำงานทั้งวันได้ร้อยกว่าเหรียญ เงินดีแต่ไม่มีอะไรท้าทายและไม่มีอนาคต (ถ้าเก็บเงินไม่ได้)
– หลังจากพบว่า ค่าจ้างแต่งงานแพงหูฉี่ และได้ศึกษากฎหมายและข้อผูกมัดของใบเขียวพอสมควร ก็คิดว่า การมีใบเขียวนั้น ไม่ค่อยคุ้มกันเลย (คนที่นี่ พูดกันให้เข้าใจง่ายว่า คนมีใบเขียว เค้าไม่อยู่เมืองไทยกันหรอก … เพราะต้องรักษาสภาพของใบเขียวด้วยการจ่ายอะไรต่อมิอะไรตลอดเวลา)
– ทั้งที่คิดว่า การต่อสู้ของตัวละคร 2 ตัวในความคิดนั้น จะจบลงแล้ว ตอนที่ตัดสินใจเลือกเรียนเกี่ยวกับ Art โดยพยายามหลีกเลี่ยง MBA และ MIS หรือ Com Science .. แต่ก็กลับรู้สึกเหมือนว่า มันยังสู้กันอยู่

– จะมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายได้จริงๆหรือเปล่านะ? – จะเป็นเจ้าของกิจการโดยไม่เคี่ยวได้ละหรือ (ยังไม่เจอตัวอย่าง) – Career path (Career ต่างจาก Job ตรงที่พูดถึงความยั่งยืนมากกว่า) หลังจากหางานในเน็ทที่เมืองบริเวณใกล้เคียง พบว่า Skill ที่ถึงพัฒนาก็สู้ฝรั่งไม่ได้ คือ Communication Skill และ Persuasion Skill ซึ่ง หากตัดคุณสมบัตินี้ออกไปแล้ว ก็จะเหลืองานอยู่เสี้ยวกระผีกริ้น และไม่ต่างกับการขายแรงงานอื่นๆ
ฯลฯ

– วันนี้เปิดเรียนวันแรก เข้าเรียนคลาส Media Production พบว่า ครูที่สอนมี Background มาทางช่าง เก่งคอม แต่ทำงานศิลป์ได้ห่วยกว่าลูกทีมในเมืองไทยที่เคยร่วมงานกันหลายคน, เข้าเรียนคลาส College Algebra ง่ายกว่าเลขม.ปลาย, ดูอุปกรณ์ใน Lab อื่นๆ มันดี มันเท่ แต่ Software ต่างๆยังทันสมัยสู้พันทิพย์ไม่ได้
– รัฐบาลสหรัฐประกาศข่าวไล่จับโรบินฮู้ดในวีซ่าร์นักเรียน นัยเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู กระทบถึงเงินที่ได้ ระหว่างการมี Work permit กับไม่มี อยู่พอสมควร
– คนเอเชียที่นี่ ส่วนใหญ่จะมีทางเลือกหลักสองทาง คือ เรียนให้จบ แล้วกลับบ้าน กับ อยู่เพื่อเปิดร้านอาหาร

ฯลฯ

แต่ยังไม่หมดหรอกน่า
มันต้องมีทางสิ
มันต้องมีทาง

เพื่อนบางคนเป็นห่วงว่า กระผมคิดมาก สับสน และกำลังจะเป็นบ้า
เพื่อนบางคนเตือนว่า ให้หนักแน่น และทำตามแผน
เพื่อนบางคนถามว่า สนใจกลับมาทำบริษัท Trade ระหว่างจีน-ไทย-สหรัฐไหม?
(Withdraw ที่เรียนซะ จะได้เงินคืนแสนกว่าบาท)
เพื่อนบางคนบอกว่า อยากทำอะไรก็ทำ
ฯลฯ

หนังสือ อมตะ กล่าวว่าผู้คนในประวัติศาสตร์ ต่างแย่งชิงความเป็นอมตะ
ผมคิดว่า ผู้คนในปัจจุบันนั้น แค่จะรักษาตัวตนให้ดำรงอยู่ ยังยากเย็นเลย

ผมตัดสินใจอย่างไร ตัวตนของผมถึงจะยังดำรงอยู่?

หรือจริงๆมันไม่เกี่ยวกัน?

อยู่อเมริกามาแปดเดือน ไม่มากสำหรับการเป็นฝรั่ง แต่ไม่น้อยเลยสำหรับการเปิดโลกทรรศน์และทดสอบความสามารถบางอย่าง

หลักๆคงได้เคล็ดลับของชีวิตมาสองข้อ (อ่านแล้วอย่าเพิ่งขำ)

1. เวลาพูดภาษาอังกฤษ อย่าหัวเราะ (โรเบิร์ต บอกว่า อาการอย่างนี้เรียก Nervous & Stupid Asian)
2. เคล็ดลับสำหรับความรวย 2 ข้อคือ
…. 2.1 หามาให้มากกว่าที่ใช้ไป
…. 2.2 ใช้ไปให้น้อยกว่าที่หามา

ส่วนประเด็นเบ็ดเตล็ด – รู้จักนับเงินทอนแล้ว เลยได้รู้จักการใส่ใจใน agreement, การรักษาผลประโยชน์ และเก็บสถิติงบดุลของตัวเองเสียที – เริ่มเถียงฝรั่งได้บ้างแล้ว – ปฏิเสธ (โดยไม่ไร้หัวใจมากนัก) ได้ดีขึ้นกว่าเดิม – เชื่อฟังตัวเองมากขึ้น – มั่นใจในโมเดลธุรกิจขนาดกลางและเล็กมากขึ้น – เชื่อมั่นในการไม่ใช้เงินในอนาคตได้มากขึ้น
(ประเด็นเล็กๆ เช่นเรื่องบัตรเครดิต, ประเด็นใหญ่ๆ เช่น เรื่องการกู้เงินมาลงทุน) – สามารถหาความรู้ในอินเตอร์เน็ทได้เก่งขึ้น (ทั้งที่มันก็ใช้ Google เหมือนกันเนาะ?) – มองเห็นข้อเสียของธุรกิจ B2C มากขึ้น (ก่อนหน้านี้คิดว่า ไม่ยุติธรรมเลย ที่ประเทศไทยต้องทำตัวเป็น Sweatshop และกราบแทบเท้าลูกค้าฝรั่งในลักษณะ B2B แต่เมื่อมาอยู่กับธุรกิจ B2C ก็เลยได้สัมผัสถึงความเสี่ยงต่างๆ และปริมาณ Order ที่กระจัดกระจาย – ควบคุมประสิทธิภาพการผลิตไม่ได้) – ตำราธรรมะภาษาอังกฤษนั้น หลายประเด็นอ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่าภาษาไทย (คนรุ่นหลังๆ คงเข้าใจคำว่า Feeling ง่ายกว่า เวทนา ละกระมัง) – คัมภีร์ไบเบิล ภาษาอังกฤษอ่านยากจัง – หนังสือ HOW-TO ภาษาอังกฤษนั้นอ่านสนุกและไม่รู้สึกดัดจริต ขณะที่ภาษาไทยกลับรู้สึก (อาจเป็นไปได้เหมือนกับที่เราเห็นแหม่มแต่งโป๊แล้วไม่คิดว่าน่าเกลียด)
ฯลฯ

กับคืนวันที่ผันผ่าน
ข้อความในเว็บคุณคริสรู้สึกจะซีเรียสมาโดยตลอด
ก็เป็นแค่บางห้วงความคิดนะขอรับ
มิใช่ตลอดเวลา

เรื่องรื่นรมย์ก็มีเยอะ ควรจะเอามาเขียนแต่ก็ไม่ได้เขียน

เอาน่า…
แล้วเจอกัน


อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และอ้วนสาตตตตต (เดาเอาว่าใครเป็นใคร เคี้ยก เคี้ยก)

ความเห็น