หนังสือ : ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน- ในแง่มุมของความรัก

30 พฤศจิกายน 2001 23:36 น. บันทึก ,

ว่าจะเขียนเรื่องย่อของ “ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” ต่อ แต่ดูไปดูมา รู้สึกมันจะมีข้อความดีๆเยอะเหลือเกิน ชักขี้เกียจพิมพ์ ดังนั้น ขอกล่าวแค่ส่วนที่เกี่ยวกับ “ความรัก” ละกันนะขอรับ

อ่านข้อความนี้ครั้งแรกในราวตี3-ตี4 ของคืนหลังงานการอันยุ่งเหยิงได้ผ่านไป ไม่อยากจะใช้คำพูดเชยๆ (เพื่อนบางคนเรียกว่า ลาวๆ) เลยว่า
“ แล้วในขณะนั้น ท่ามกลางสายลมในค่ำคืนของฤดูหนาว …
หัวใจของผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด “

วินาทีนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเวลาหยุดนิ่งไปแล้ว เขาสัมผัสบรมจิตแห่งพิภพที่ไหลแล่นไปทั่วร่าง เมื่อเขามองลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับของเธอ และเห็นริมฝีปากซึ่งดูเหมือนจะแย้มยิ้ม เขาก็ตระหนักว่า เขาได้เรียนรู้ส่วนสำคัญที่สุดของภาษาที่ผู้คนทั้งโลกใช้ร่วมกัน เป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้ด้วยหัวใจ นั่นคือความรัก มันเป็นสิ่งที่มีมาก่อนมนุษยชาติและดำรงอยู่ เก่าก่อนกว่าทะเลทราย คือบางอย่างที่บังเกิดขึ้นทุกครั้งที่ดวงตาของคนสองคนมาสบกัน เช่นสายตาของเขากับเด็กสาวคนนี้ เธอยิ้มและนี่ต้องเป็นลางอย่างแน่นอน ลางที่เขารอคอยโดยไม่รู้ตัวว่ารอคอยมาตลอด ลางที่เขามองหาในฝูงแกะ จากหนังสือที่เขาอ่าน ในร้านเครื่องแก้ว หรือในความเงียบของทะเลทราย

มันเป็นภาษาบริสุทธิ์แห่งพื้นพิภพ เป็นภาษาที่ไม่ต้องการคำอธิบาย เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของจักรวาล ซึ่งเป็นมาและเป็นไปโดยไม่ต้องการคำอธิบาย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าหญิงเพียงผู้เดียวของชีวิตเขา เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องการถ้อยร้อยวาจา เขารู้ว่า เด็กสาวก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา ครั้งนี้เขามั่นใจในความรู้สึกของตนเองเต็มเปี่ยม พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยบอก ว่าวันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง และเขาจะรู้ทันทีที่เห็นว่าใครคือผู้หญิงคนนั้น เป็นไปได้ว่าคนเรารู้สึกเช่นนั้นเพราะ เขาไม่เคยเรียนรู้ภาษาอันเป็นสากล เพราะหากเรารู้จักภาษานี้ เราก็จะเข้าใจได้โดยทันทีว่า ณ บางที่ในโลกนี้ มีใครบางคนรอคอยเราอยู่ อาจจะเป็นกลางทะเลทราย หรือในใจกลางเมืองใหญ่ และเมื่อคนทั้งสองพบกัน สายตาสองคู่ประสานสบกัน ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็กลายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญอีกต่อไป ในห้วงเวลาเช่นนั้น พวกเขาจะมั่นใจอย่างไม่เคยมั่นใจมาก่อนว่า ทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นใต้ดวงตะวันดวงนี้ ล้วนถูกลิขิตโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าองค์เดียวกัน เป็นพระหัตถ์ซึ่งให้กำเนิดความรัก และให้ดวงวิญญาณคู่แก่มนุษย์ทุกคนในโลก หากปราศจาความรัก ความฝันของมนุษย์ก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

เด็กหนุ่มได้พบกับความรัก และเขาก็คิดว่า เขาควรจะลืมความฝันของเขาลงเสีย

“ฉันจะนำทางเจ้าข้ามทะเลทราย” นักแปรธาตุบอก
“แต่ฉันอยากอยู่ที่โอเอซิส” เด็กหนุ่มตอบ “ฉันได้พบฟาติมาแล้ว สำหรับฉัน เธอมีค่ายิ่งหว่าขุมทรัพย์ใดๆ”
…..

“เจ้าต้องเข้าใจว่า ความรักไม่เคยปิดกั้นไม่ให้มนุษย์แสวงหาชะตากรรมของเขา และหากเขาละทิ้งการค้นหา ก็เพราะความรักนั้น ไม่ใช่รักแท้ เพราะความรักแท้พูดภาษาเดียวกับภาษาแห่งพิภพ”

อ่านประโยคสุดท้ายแล้ว ไอ้เม่นก็ถึงกับอุทานว่า
“ โห … คนเขียนนี่มัน “ผู้ชาย” จริงๆว่ะ “ (มีนัยะทั้งชื่นชมและดูถูก)
ใช่ไหมขอรับ

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ
คุณ โอ‘เว่น บวชแล้วนะขอรับ (บทความนี้ไม่เหมาะสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้มีศีลธรรมอันดี)

คำถาม : ทำไมมันชื่อโอ‘เว่น วะ มันชื่อโอ ไม่ใช่หรอ
คำตอบ : อ้ายห่า คนชื่อโอมีเป็นล้าน มันต้องระบุหน่อยโว้ย โอ‘เว่น มาจาก โอเซเว่น ไง แปลว่า ไอ้โอผู้ติดเคมีโอลิมปิกแต่เรียน 7 ปี (ไอ้โอมันภูมิใจมากนะเพื่อนๆ อย่าคิดว่าจะล้อมันด้วยคำนี้ได้)

หลังจากทำพิธีบวชเสร็จ ก็เป็นการเลี้ยงอาหารทั้งพระและแขก ไอ้เม่นและเพื่อนๆเริ่มทะยอยมางานบวชพระโอ‘เว่น (หมายถึงเพื่อนบางคนที่มันกะมากินอย่างเดียวนะ แหม่ ไม่ไหวเลยจริงๆ)

ไอ้เม่น : หลวงพี่คิดไงบวชวัดนี้ขอรับ
หลวงพี่โอ‘เว่น : อ๋อ มันใกล้บ้านดี อาตมาบิณฑบาตง่าย เลี้ยวไปบ้านปุ๊บกลับวัดเลย
ไอ้เม่นชักจะรู้สึกแหม่งๆ แต่ยังคิดไม่ออกว่าผิดอาบัติข้อไหน

ไอ้หมู : แล้วหลวงพี่กำหนดสึกเมื่อไหร่รึครับ
หลวงพี่หยุดคิดเล็กน้อย แล้วกล่าว
หลวงพี่โอ‘เว่น : อาตมาคงสึกราวปลายธันวาคมน่ะ สึกออกมาก็จิงเกอเบลเลย..
ท่ามกลางอาการติดคอของทุกผู้ เมื่อเจอหลวงพี่เล่นศัพท์เทคนิค
กระนั้น หลวงพี่ก็ยังไม่วายปล่อยมุขปิดท้าย
หลวงพี่โอ‘เว่น : คงราวๆนั้นแหละ .. ถ้าอาตมาไม่ปาราชิกซะก่อนน่ะนะ

ความเห็น