โมเดลธุรกิจ : มาช่วยกันทำ ได้เงินแล้วเอามาแบ่งกัน

11 พฤศจิกายน 2001 23:12 น. บันทึก

วันนี้เจ้านายผมมีไอเดียใหม่ (ความจริงในทางปฏิบัติก็ไม่ค่อยใหม่มากหรอก มีหลายเว็บแล้ว) คือคิดจะทำเว็บที่เกี่ยวกับเรื่องขำขัน อยากให้เป็นที่รวมของคนทำการ์ตูนช่อง, ตลกเรื่องเล่า, เรื่องแต่ง, แก๊กต่างๆ โดยมีระบบสมาชิก ระบบการโหวด ระบบส่งงานผ่านเน็ต ซึ่งเมื่อมีจำนวนมากพอ ก็จะเอาไปพิมพ์เป็นหนังสือจริงๆ โดยเรื่องที่ได้ตีพิมพ์นั้น ถ้าได้เงินเราก็จะเอามาแบ่งกัน (คล้ายๆหุ้น แต่เป็นแรงจูงใจของแต่ละโปรเจ็ค แยกบัญชีไปเลย โชว์รายได้ รายจ่ายชัดๆเลย เพราะเจ้านายผมดันขี้เกียจโกงภาษี) เพราะเราคิดว่า มีมุขตลกอีกมากที่ไม่ได้อยู่ในขายหัวเราะ , มีคนวาดการ์ตูนอีกมากที่อยากเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ , และมีกำลัง+ความสามารถทางธุรกิจอีกมาก ที่กำลังเรียนหนังสือตามตำราฝรั่งโง่ๆ แล้วจะจบออกมาตกงาน

ซึ่งทำให้การมองธุรกิจในระยะหลังๆของผมสอดคล้องกัน คือ โมเดลธุรกิจที่ว่า “มาช่วยกันทำ ได้เงินแล้วเอามาแบ่งกัน” หรือภาษาอังกฤษว่า Ma Chauy Kun Tam Dai Ngern Law Ma Bang Kan : Win Win Business Model ที่แสนซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าตำรา MBA ฮ่า ฮ่า …
(ซึ่งผมอยากให้เป็นแนวทางเดียวกับ fantasticstudio.com ที่จะเป็นระบบ Out source กำลังทางการทำ Animation ผ่านเน็ต ทั้งส่วนวาดการ์ตูน ทำภาพคลื่อนไหว Character Design ทำเพลง ทำ StoryBoard ฯลฯ โดยมีผลตอบแทนในลักษณะ ค่าจ้าง+ส่วนแบ่งกำไร)

ทำไมคนเรียนจบปริญญาตรีจึงมักคิดว่า เค้าควรจะได้เงินเดือน 1-2 หมื่นโดยมานั่งๆนอนๆตอกบัตรกินข้าว ก่อนจะคิดว่า เค้าจะทำเงินให้บริษัท 100,000 แล้วบริษัทควรจะให้เงินเค้า 5-6 หมื่น
เพราะบริษัทดำเนินธุรกิจแบบใจแคบมาตลอดใช่ไหม? หรือเพราะเราเชื่อเสมอว่า เราไม่มีปัญญาสร้างเงินเป็นแสนเป็นล้านได้หรอก?

บริษัทใหญ่ๆ (โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ) ใจแคบจริงหรือ?
ถ้าเค้าจ้างเด็กที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดของปริญญาโทเมืองไทยไว้ในราคาเดือนละแสน เด็กคนนั้นขี้เกียจและไร้ความสามารถมาก เค้าน่าจะบวกลบเลขได้ว่า

สิ่งที่เด็กคนนั้นทำมีค่า 10,000 บาท
ค่านิยมและทรรศนะคติต่อ Brand ของบริษัท อาจจะมีค่า 20,000 (เช่น ถ้าเด็กคนนั้นจะซื้อของ เค้าจะซื้อของในเครือบริษัท ซื้อ 200 บาท 100 ครั้งก็ 20,000)
การสร้างค่านิยมให้คนรอบข้าง (เช่นความอิจฉาเด็กคนนี้ การรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัท โดยจะนำมาซึ่งความนิยมใน Brand ของบริษัท) มีค่าซักคนละ 5,000 20 คนก็ 100,000 เกินเงินเดือนแล้ว
หรือถ้าจะคิดต่อ วันหนึ่งเมื่อบริษัทนี้ต้องการ “ปรับโครงสร้างใหม่” (อย่างที่แจ็ค เวร พยายามไล่คนออกเกลี้ยงบริษัท GE Capital) เด็กคนนี้ก็จะเป็น “ต้นทุนในการเชือดไก่ให้ลิงดูที่ต่ำมาก”

ฮ่า ฮ่า ดูแล้วไอ้เม่นมันมั่ว แต่ยังไงลองคิดความคุ้มจากการใช้จ่ายทางอื่นก็ได้

เช่น ถ้าเค้าเอาเงินไปลงโฆษณาไทยรัฐเต็มหน้า สี่สี 1ฉบับ (อายุไม่ถึงวัน) เค้าจะเสียเงิน 8 แสน ยังไงจ้างเด็กคนนี้ก็ถูกกว่า เด็กโฆษณาต่อ-แรงกว่า และถ้าบังเอิญว่า เด็กคนนี้เป็นคนรวย (ซึ่งน่าจะแปลว่ามีคนรอบข้างรวยๆ) กำลังซื้อที่ย้อนกลับมาสู่ Brand อาจจะเพิ่มไปอีกมากกว่ามาก

ดูเหมือนโลกจะไม่ยุติธรรม และอะไรต่ออะไรก็จะเข้าทาง “เกลียวหมุนเชิงบวก” ของบิล เกตต์ซะหมด
(บิล เกตต์กล่าวถึงเกลียวหมุนเชิงบวกว่า ธุรกิจ IT นั้นเป็นเช่นนี้ เช่น ถ้าทุกคนใช้มาตรฐานวินโดวส์ วินโดวส์ก็จะยิ่งขายได้มากขึ้น คนจะเขียนโปรแกรม+เกมส์ ก็ต้องเขียนบนวินโดวส์มากขึ้น วินโดวส์ก็จะยิ่งขายได้มากขึ้น เมื่อคนไม่เคยใช้คอม จะหัดใช้คอม ก็ต้องหัดวินโดวส์ วินโดวส์ก็จะยิ่งขายได้มากขึ้น เมื่อใครๆใช้วินโดวส์ ก็กลับมาสู่การผลิตใหม่ ทั้งคนเขียนโปรแกรม ทั้งคนผลิตคอมขาย ฯลฯ ก็ต้องรองรับวินโดวส์ วินโดวส์ก็จะยิ่งขายได้มากขึ้น
โดยเราจะเปลี่ยนคำว่า วินโดวส์ เป็นมาตรฐานอื่นๆก็ได้ เช่น ยี่ห้อมือถือ, หนังฮอลิวูด, ยี่ห้อร้านอาหารเฟรนไชน์ ฯลฯ
หมายเหตุ : เกลียวหมุนเชิงบวก ถ้าจะพูดด้วยศัพท์ในตำราตะวันออก แบบงูๆปลาๆและตีขลุมสไตล์เม่น คงต้องเรียกว่า อิทัปปัจจยตาเชิงอวิชชา ละกระมัง อิอิ)

แต่ก็นั่นแหละ ถ้าจะไม่เชื่อการรับใช้นายทุนนอกแล้ว จะนิยมไทย ก็อาจจะกลายเป็นการรับใช้นายทุนไทย หรือจะเชื่อผม ก็ต้องระวังว่า จะมารับใช้กระแสใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผม

ฮ่า ฮ่า ยิ่งคิดมาก โลกก็ยิ่งหดหู่ อู๊ยยยย อะไรจะนอกเรื่องไปไกลขนาดน้าน

ความจริงผมเกริ่นเรื่องนี้ (การทำเว็บการ์ตูนขำขัน มุขตลก ฯลฯ) เพื่อจะถามเพื่อนๆพี่ๆน้องๆว่า เสียงหัวเราะนั้น ในการเขียน (ทั้งไทยทั้งอังกฤษ) จะเขียนเสียงหัวเราะได้ว่าอะไรบ้างค้าบ (เผื่อผมจะเอาไปตั้งชื่อเว็บ หรือคอลัมภ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง) เช่น ฮ่า ฮ่า เหอ เหอ Hehee ฯลฯ ขอเรียนเชิญบรรเลงทิ้งไว้ใน สมุดเยี่ยมชม ได้เลยขอรับ จักเป็นพระคุณยิ่ง

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ

มาจะกล่าวบทไป ถึงเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งอกหัก เมื่อคุยกันสักพักก็พบว่า มันกำลังปิ๊งน้องคนหนึ่ง ชื่อ น้อง ม.
(ผู้ชายก็อย่างนี้แหละครับ เลวหมดทั้งโลก เพิ่งเลิกกับแฟนแท้ๆ ยังมาปิ๊งสาวใหม่)

“น้องเค้าชื่อ ม. ว่ะ น่ารักดี กูชักหลงรักแล้วว่ะ…
รักที่แปลว่าเลิฟน่ะ”

“ไอ้เหี้ย” (ไม่ใช่คำหยาบ เป็นคำพูดคั่นประโยค โดยปกติไม่มีความหมาย แต่บางครั้งอาจแปลได้ว่า By the way)

“มึงชอบน้องชื่อ ม. แต่มึงไม่ใช่คนรักสัตว์นี่หว่า..” ไอ้เม่นถามด้วยความคับข้องใจ

“ใช่ ใช่ แต่ตอนกูคุยกับเค้า กูก็บอกว่า ที่บ้านเลี้ยงแมว …”

“ไอ้สัตว์ หน้าด้านเหี้ยๆ” (ไม่ใช่คำหยาบอีกเช่นกัน คำแรก มีความหมายว่า Cool! คำที่สอง มีความหมายว่า Very Much)

“มึงไม่มีทั้งแมว และบ้าน มึงอยู่หอโว้ย..”

ความเห็น

ความคิดเห็น

  1. เก้ากระบี่ พูดว่า:

    เว็ปนี้เขา แนวคิดออกจะ cool
    fantasticstudio.com
    เจ๊งไปแล้วหรอพี่???
    สงสัยเฉยๆ เห็นมันเข้าไม่ได้

    1. iMenn พูดว่า:

      โอ้ว ขุดบันทึกมากๆ นี่มันนานมากแล้วครับน้อง โปรเจ็กนี้เจ๊งไปแล้วล่ะ การทำงานอนิเมชันมันยากมากครับ ยิ่งตลาดไทยมีขนาดเล็กมาก ทำแล้วรอดยาก 🙂

  2. เก้ากระบี่ พูดว่า:

    ฮ่าฮ่า คนมันชอบอ่านประวัติศาสตร์นะครับ^_^